องค์ความรู้จากกองกิจการนักศึกษา
เรื่อง สิ่งที่ควรรู้และการเตรียมตัวก่อนไปสมัครงานทั้งงาน part time และ งานประจำ
สิ่งที่ควรรู้และการเตรียมตัวก่อนไปสมัครงานทั้ง งาน part time และ งานประจำ การสมัครงานเหมือนกับการไปเสนอขายสินค้า ซึ่งจำเป็นจะต้องเตรียมตัวให้ดี การเตรียมตัวก่อนสมัครงานเป็นสิ่งจำเป็น จะต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนจบการศึกษาในแต่ละปีจะมีผู้จบการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี อาชีวศึกษา ทั้งสายพาณิชย์ ช่างอุตสาหกรรมและครู ทั้ง ปวช. ปวส. ปีละหลายหมื่นคน กระจัดกระจายทั่วประเทศ ซึ่งรวมกันแล้วจะเป็นแสน ๆ คน และรวมกับผู้ที่ตกค้างจากปีก่อน ๆ ที่ยังไม่ได้งานทำอีกมาก
ความเชื่อที่ว่าเรียนเก่งหรือเรียนดีแล้วจะหางานง่ายนั้น อาจไม่เป็นจริงเสมอไป ในยุคปัจจุบัน การรับคนเข้าทำงานในทุกวันนี้นั้นจะพิจารณาสิ่งอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น บุคลิกภาพ ความคล่องตัว ความอดทน ความเป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบ เป็นต้น การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ในการหางานทำหรือสมัครงานจึงเป็นการเตรียมพร้อมที่ดีและควรเข้าทำนองที่ว่า “ฟอร์มดีมีชัยไปกว่าครึ่ง”
การจะไปหางานหรือไปสมัครงาน เราที่จะต้องรู้ว่ามีอะไรที่น่าสนใจในตัวเรา สิ่งที่น่าสนใจนั้นต้องเป็นสิ่งที่ผู้สมัครนั้นสนใจด้วยก็เหมือนกับว่าคุณเป็นเซลแมนหรือเซลวูแมนที่จะเสนอขายสินค้า การเสนอขายสินค้าได้ จำเป็นจะต้องมีเทคนิควิธีการต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ซื้อสินค้าพร้อมที่จะอยากได้สินค้าเอาไว้ ถ้าคุณทำได้ โอกาสที่คุณจะได้งานทำก็มีมาก การเตรียมตัวเพื่อการสมัครงาน และเพื่อให้สามารถหางานทำได้เร็วยิ่งขึ้นควรมีการเตรียมตัวดังนี้
เตรียมหลักฐานการสมัครงาน
ผู้สมัครงานจะต้องเตรียมหลักฐานการสมัครงานต่าง ๆ เช่น ใบรับรองผลการศึกษา, ใบสุทธิรูปถ่าย, บัตรประจำตัวประชาชนพร้อมสำเนา, สำเนาทะเบียนบ้าน, ใบปลด รด.,และหลักหลักฐานอื่น ๆ (ถ้ามี) หนังสือรับรองการฝึกงานจากผู้ที่เคยจ้างงาน หรือรับรองจากอาจารย์ที่ปรึกษา นอกจากหลักฐานการดังกล่าวแล้ว ผู้สมัครงานควรเตรียมเครื่องเขียนปากกา ยางลบ ดินสอ ซองจดหมาย หลักฐานการสมัครงานควร เตรียมเอาไว้หลาย ๆ ชุด เพื่อสมัครงานหลาย ๆ แห่ง
เตรียมเครื่องแต่งตัว
ผู้สมัครงานควรเตรียมเสื้อผ้า รองเท้าที่สุภาพ เรียบร้อย เหมาะสมกับบุคลิกภาพของตนเอง ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง เพียงแต่ให้ดูสะอาดตา ตลอดจนทรงผมไม่ควรที่จะรุงรังจนเกินไป
เตรียมตัวเตรียมใจ
ผู้สมัครงานนอกจากเตรียมหลักฐาน เตรียมเครื่องแต่งตัวแล้ว จะต้องมีการเตรียมใจ พูดง่าย ๆ ก็คือ เตรียมใจ เตรียมกาย และเตรียมสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นหรือคิดว่าจำเป็นไว้ให้พร้อมเพราะว่าชีวิตที่อยู่ในวัยเรียนกับชีวิตที่อยู่ในวัยทำงาน มันแตกต่างกัน ถ้ายังอู่ในวัยเรียน ถ้าเรียน ไม่ดีก็สอบตก หรือเรียนซ้ำชั้น สอบใหม่ แก้ตัวใหม่ได้ ถ้าอยู่ในวัยทำงาน ทำผิดพลาด หรือผลงานไม่ดี อาจถูกตำหนิ หรือตักเตือน ภาคทัณฑ์ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องปรับตัว ปรับใจ ปรับความรู้สึก พร้อมที่จะรับสภาพความเป็นผู้ใหญ่
ก่อนสมัครงานควรรู้จักสิ่งเหล่านี้
มนุษย์ทุกคนมีความสามารถและคุณค่าบางอย่างในตัวเองเสมอ หน้าที่ของคุณพยายามค้นหา (ถ้าคุณยังไม่รู้) ความสามารถนั้นในตัวเองและแสวงหางานที่เขาต้องการความสามารถนั้นให้เจอ ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจสมัครงานตำแหน่งงานใด ๆ ก็ตามควรคำนึงถึง 2 จุดนี้ คือ รู้เขารู้เรา ดังสุภาษิตจีนที่ว่า “รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” นั่นเอง ต่อไปจะเป็นรายละเอียดในแต่ละหัวข้อ
1. “การรู้จักตัวเอง” หรือ รู้เรา
ทำไมจึงต้องรู้จักตนเอง ที่ต้องรู้จักตนเองก็เพราะการหางานก็คือการ “ขาย” ตนเองชนิดหนึ่งเป็นการเสนอขายความรู้ ความสามารถ ของตัวเองให้แก่บริษัทนั่นเอง โดยการรู้จักตนเองนี้ก็จะต้องผ่านบันได 9 ขั้น แห่งการเข้าใจตนเอง ดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 : ค้นหาทักษะ (SKILL)
จะเห็นว่าทักษะนั้นเป็นรากฐานของการทำงานทุกชนิด ไม่มีงานชนิดไหนเลยที่ไม่ต้องใช้ทักษะ ดังนั้นการค้นหาทักษะในตัวคุณจึงเป็นสิ่งจำเป็นอันดับแรกของการทำงานคนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยสนใจที่จะทำความเข้าใจกับตัวเองว่าเขามีจุดเด่น หรือความสามารถอะไรบ้างเมื่อถูกถามในเวลาสัมภาษณ์จึงมักงงเป็นไก่ตาแตก ตอบไม่ถูก ทำให้กลายเป็นคนที่ดูเหมือนไม่มีจุดเด่นอะไร ไม่มีใครมีทักษะที่ไม่สามารถหางานทำได้ สมมุติว่า คุณมีทักษะที่ชอบทำตามคำสั่งผู้อื่น คุณอาจจะพอใจกับงานประเภทที่ต้องถูกสั่งให้ทำ เช่น อาชีพเลขานุการ งานทางธุรการต่าง ๆ แต่บุคลิกของคุณกล้าแสดงออก ชอบโต้เถียงผู้อื่น คุณอาจเหมาะกับอาชีพประเภททนาย หรือนายหน้าก็ได้เห็นหรือไม่ว่า การค้นหาทักษะในตัวเองจะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการหางานที่ถูกใจคุณถ้าเห็นด้วยเรามาเริ่มต้นกันเลยดีไหม? เพราะฉะนั้นตัวอย่างของทักษะ เช่น การตัดสินใจในตนเอง ความจริงใจต่อกัน การเป็นผู้นำ การสื่อสารเขียนหรือพูด ฯลฯ
ขั้นที่ 2 : สำรวจจุดเด่นของตนเอง
จุดเด่นของคุณก็มีผลกับการหางานมากพอ ๆ กับทักษะจุดเด่น เป็นลักษณะทางบุคลิกภาพที่ทุกคนมี งานทุกชนิดต้องการคนที่มีบุคลิกบางอย่างที่เด่นเป็นเฉพาะ เช่น ถ้าคุณจะไปทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ คุณควรมีบุคลิกที่เข้ากับคนง่าย รู้จักจัดการเกี่ยวกับคนหรือถ้าจะไปทำงานเป็นพนักงานบัญชี คุณควรมีบุคลิกที่ละเอียดรอบคอบ เป็นต้น จุดเด่นที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องมีแต่ลักษณะนั้นเท่านั้น เพียงแต่คุณมีลักษณะบางประการ ที่เด่นเหนือลักษณะอื่นอยู่บ้างเท่านั้น เพื่อจะให้มองภาพจุดเด่นที่ชัดขึ้น จึงขอยกตัวอย่างจุดเด่นเพิ่มเติมอีก เช่น สนใจใฝ่รู้ทางวิชาการ ปรับตัวง่าย ตื่นตัวอยู่เสมอ ดึงดูดความสนใจ ระมัดระวัง ความรับผิดชอบสูง มองการณ์ไกล เป็นการเป็นงาน ละเอียดรอบคอบ สง่าผ่าเผย ฯลฯ เป็นต้น
ขั้นที่ 3 : สำรวจความสัมฤทธิ์ผลทั่วไป
ในขั้นนี้เป็นช่วงสำคัญช่วงหนึ่งของการรู้จักตนเอง ขอให้คุณนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่มีความหมายสำหรับคุณในอดีตซึ่งอาจจัดว่า เป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งของชีวิต พยายามนึกให้ได้ว่าในชีวิตคุณมีความสำเร็จอะไรบ้างอย่าตอบว่าไม่มีเลย เพราะไม่จริง ในแต่ละวันที่เรามีชีวิตอยู่นั้น เราจะต้องมีความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ อาจเป็นความรู้สึกประทับใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจจะไม่มีความหมายสำหรับผู้อื่น แต่มีความหมายสำหรับตัวเรา เช่น ทำการฝีมือได้รางวัลชมเชยหรือต่อรูยาก ๆ ได้สำเร็จก็ได้ ความสำเร็จในอดีตนี้ช่วยในการวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพได้ในอนาคต
ขั้นที่ 4 : สำรวจความชอบ/ไม่ชอบ
ในขั้นนี้เป็นของการลองกลับไปคิดใหม่อีกครั้ง ถึงเหตุการณ์สมัยที่ผ่านมา ไม่ว่าจะตอนขณะอยู่โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น ฯลฯ มีอะไรที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นที่ทำให้คุณไม่ชอบใจบ้าง? และขอให้จำลักษณะบุคลิกของบุคคลที่คุณไม่ชอบใจนี้ไว้ด้วย คุณจะได้รู้ว่าบุคคลประเภทใดที่คุณอยู่ด้วยแล้วจะไม่มีความสุข
ขั้นที่ 5 : สำรวจขีดจำกัด
ไม่มีมนุษย์คนไหนที่สมบูรณ์ดีพร้อม คุณก็เช่นเดียวกัน เราทุกคนยังเป็นมนุษย์ที่ย่อมมีข้อบกพร่องการรู้จักตัวเองของคุณ ไม่ควรจะหมายความถึงการรู้จักแต่ส่วนดีของตัวคุณเท่านั้น คุณยังต้องรู้จักจุดอ่อน หรือขีดจำกัดของตัวคุณอีกด้วย จึงจะนับว่าเป็นการรู้จักตนเองอย่างแท้จริงจุดอ่อนที่จะเป็นอุปสรรคขัดขวางและทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร พยายามนึกทบทวนดูให้ดีและอย่าปิดบังตัวเอง คุณจะต้องพยายามทำความรู้จักกับกับทุกส่วนของบุคลิกคุณอย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น คุณอาจเป็นคนมีความคิดอ่านดีในสมัยอยู่โรงเรียนมัธยม แต่คุณมักจะไม่กล้าใคร่แสดงตัวหรือแสดงความคิดให้ปรากฏ ทำให้ผู้อื่นรับหน้าที่นี้แทนคุณไป และความคิดเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าความคิดของคุณเลยถ้าเป็นเช่นนี้ แสดงว่าจุดอ่อนของคุณอยู่ที่การขาดความกล้า หรือไม่มีลักษณะเป็นผู้นำ เป็นต้น เมื่อสำรวจเสร็จก็ขอให้จดจำขีดจำกัดของตัวคุณไว้ เพื่อประกอบการพิจารณาเลือกสมัครงานในตำแหน่งนั้น ๆ ต่อไป
ขั้นที่ 6 : สำรวจค่านิยม
ค่านิยมคืออะไร และมีความสำคัญกับการหางานทำของเราอย่างไร? คุณอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจถึงความสำคัญของค่านิยมให้คุณลองนึกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า ถ้าเผอิญคุณเป็นชาวพุทธ แต่เผอิญได้ได้ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ และคุณจะต้องลงมือเป็นผู้ลงมือฆ่าสัตว์เหล่านั้น คุณคิดว่า คุณจะทำงานหน้าที่นั้นด้วยความสบายใจหรือไม่และจะทำไปได้นานสักแค่ไหน? แน่นอนคุณคงทำไปด้วยความไม่สบายใจ และถ้าต้องทำต่อไป คุณก็คงจะอยู่ในงานนั้นได้ไม่นาน นั่นก็เพราะค่านิยมที่ตัวคุณยึดถือไปขัดกับค่านิยมงานที่คุณทำดังนั้นค่านิยม จึงหมายถึง สิ่งที่เรายึดถือว่า ดีงาม สมควรปฏิบัติ เช่น ค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์ ความมั่นคง ความปลอดภัย และความเสียสละ เป็นต้น
ขั้นที่ 7 : สำรวจความสัมพันธ์ที่มีต่อบุคคลอื่น
สิ่งหนึ่งที่คุณต้องเข้าใจคือคุณจะต้องอยู่กับคนไปตลอดชีวิต การเข้าใจความสัมพันธ์ที่มีต่อกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการอยู่ร่วมกัน และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพความสัมพันธ์ที่ต้องมีกับบุคคลอื่น ๆ จะต่างกันในงานแต่ละชนิดมีงานบางประเภทที่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นตลอดเวลา และบางประเภทก็แทบจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่นเลยถ้าคุณสำรวจความสัมพันธ์แล้วพบว่า คุณชอบการสร้างสรรค์ พึงพอใจในการได้อยู่ในกลุ่มคน ก็แสดงว่าคุณคงจะมีความสุข ถ้าคุณได้งาน ที่เปิดโอกาสให้มีการสร้างสรรค์ และอยู่กับผู้อื่น แต่ถ้าคุณชอบอยู่ของคุณตามลำพังไม่ต้องการยุ่งกับผู้อื่นมากนัก ก็ไม่ควรไปสมัครงานที่ต้องการมนุษย์สัมพันธ์มาก ๆ อาจเลี่ยงไปทำงานประเภทที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข หรือวัตถุแทน เป็นต้นบุคลิกภาพของคุณและของงานแต่ละชนิดจะต้องถูกนำมาพิจารณาประกอบกันและหาตัวร่วมที่เหมาะสม เพราะคุณจะไม่มีความสุขเลย ถ้าคุณทำงานที่มีลักษณะไม่ตรงกับบุคลิกภาพของคุณ
ขั้นที่ 8 : สำรวจสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
คุณเชื่อหรือไม่ว่า สิ่งแวดล้อมในการทำงาน หรือบรรยากาศการทำงานมีผลอย่างยิ่งต่อสภาพจิตใจของคน?ลองนึกง่าย ๆ ถ้าตัวคุณไปนั่งทำงานในห้องแคบ ๆ ไม่เจอผู้คนเลยทั้งวัน คุณจะทนทำไปได้สักกี่วัน?การทำงานนั้น มิใช่เป็นเพียงกระบวนการ ที่สักแต่จะให้ได้งานเท่านั้น แต่สิ่งแวดล้อมที่ประกอบการทำงานนั้นเป็นของสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวงานเลยซึ่งมิได้หมายความว่าให้คุณเลือกทำงานแต่ในห้องแอร์ปูพรมจรดฝา แต่สิ่งที่กำลังอยากให้คุณพิจารณาคือ ความสามารถอย่างที่คุณมี จุดเด่น ทักษะ ความต้องการและค่านิยมของคุณนั้นควรจะเหมาะกับงานชนิดไหนและอยู่กับสิ่งแวดล้อมคร่าว ๆ อย่างไร แต่คุณจะต้องมีความยืดหยุ่น พอที่จะปรับความต้องการของคุณให้เข้ากับสิ่งที่คุณได้ตามสมควร
ขั้นที่ 9 : ความต้องการเกี่ยวกับเงินเดือน
คุณคงจะต้องพิจารณาคร่าว ๆ ถึงความต้องการว่าคุณมีความต้องการอย่างไรในเรื่องนี้ การเรียกร้องเงินเดือนเท่าใดนั้น คุณควรจะต้องไปทำการค้นคว้าว่าโดยทั่ว ๆ ไป บุคคลที่จบระดับการศึกษาเดียวกันกับคุณ หรือผู้ที่ทางบริษัทรับเข้ามาในตำแหน่งที่คล้ายกับคุณสมัครนั้น ได้รับเงินเดือนประมาณเท่าใดส่วนใหญ่ ถ้าเป็นงานราชการเงินเดือนที่คุณได้จะเป็นไปตามวุฒิที่ทางการกำหนดไม่มีการต่อรองแต่ถ้าเป็นบริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจอาจมีอัตราการจ่ายเงินเดือนที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับขนาด ความมั่นคงและระบบการบริหารของบริษัท เช่น ถ้าเป็นบริษัทเล็ก ๆ ทำกันเองภายในครอบครัวก็อาจตั้งเงินเดือนให้คุณเองตามใจปรารถนาของเขาแต่บริษัทส่วนใหญ่ มักถือเอาตามวุฒิการศึกษาเป็นเกณฑ์ ในการจ่ายเงินเดือนในกรณีที่คุณไม่มีการศึกษาสูงนัก แต่มีประสบการณ์ทำงานมากก็อาจได้รับการพิจารณาเข้าทำงาน และได้เงินเดือนสูงพอ ๆ หรืออาจจะดีกว่าผู้ที่จบการศึกษาสูงกว่าคุณ แต่ขาดประสบการณ์เท่าคุณก็ได้
ดังนั้นถ้าคุณเคยมีประสบการณ์ในการทำงานที่คล้ายคลึงกับที่เขาต้องการ ย่อมจะมีภาษีกว่าผู้ที่จบใหม่ ๆ ที่รับเข้ามาก็ต้องมาเสียเวลาและค่าใช้จ่ายฝึกใหม่ นอกจากนี้ถ้าคุณมีประสบการณ์ทำงาน คุณมักจะต่อรองเรื่องเงินเดือนกับผู้จ้างได้มากกว่าผู้ขาดประสบการณ์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะมีหรือไม่มีประสบการณ์ ความต้องการของคุณก็ยังเป็นตัวกำหนดการหางานและเงินเดือนที่คุณประสงค์อยู่นั่นเอง
- ถอดบทเรียน โครงการค่ายพัฒนาทักษะผู้นำนิสิตนักศึกษาเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันปัญหายาเสพติดในสถาบันอุดมศึกษา
ถอดบทเรียน การเข้าร่วม โครงการค่ายพัฒนาทักษะผู้นำนิสิตนักศึกษาเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันปัญหายาเสพติดในสถาบันอุดมศึกษาภาคเหนือตอนล่าง ประจำปีงบประมาณ 2568
โครงการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 16 สิงหาคม 2568 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมีมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแม่ข่าย เป็นผู้ดำเนินการจัดงาน
การเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญที่ตัวแทนนักศึกษาจาก เครือข่ายอุดมศึกษาภาคเหนือตอนล่างทั้ง 16 สถาบัน จะได้ร่วมกันพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และร่วมมือกันป้องกันปัญหายาเสพติดในสถาบันการศึกษา ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติ - 7 เทคนิคการสร้าง Teamwork ให้มีประสิทธิภาพ
องค์ความรู้จากกองกิจการนักศึกษา
เรื่อง เรื่อง 7 เทคนิคการสร้าง Teamwork ให้มีประสิทธิภาพปัจจัยที่จะผลักดันให้งานประสบความสำเร็จได้อย่างดี คือการสร้าง Teamwork แต่สร้างอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ติดตามได้ในบทความนี้เลย
Teamwork คืออะไร
Teamwork หรือ การทำงานเป็นทีม คือ การทำงานร่วมกันของกลุ่มคนที่มีวัตถุประสงค์เดียวกันหรือเป้าหมายร่วมกัน ตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป เพื่อทำให้งานเสร็จสมบูรณ์อย่างมีคุณภาพตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยแบ่งงานกันอย่างเป็นระบบ พัฒนาทักษะซึ่งกันและกัน และผู้ปฏิบัติงานต่างก็เกิดความพอใจในการทำงาน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นรูปแบบการทำงานในฝันของใครหลายคนก็ว่าได้ เพราะผลลัพธ์ที่ได้นั้น มักจะประสบผลสำเร็จได้อย่างสูงสุด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานภายในองค์กรได้เป็นอย่างดีทำให้องค์กรสามารถเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และสิ่งนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญในการผลักดันบุคลากรให้พัฒนาตัวเอง ไปพร้อมๆ กับคนในทีม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำงานเข้าขากัน มีความสนิทชิดเชื้อกัน และเมื่อผลงานเป็นที่พอใจ ก็สามารถปรับเลื่อนตำแหน่งหรือเงินเดือนขึ้นพร้อมๆ กันทั้งทีมอีกด้วยเทคนิคสร้าง Teamwork ให้มีประสิทธิภาพ
การสร้าง Teamwork ให้มีประสิทธิภาพนั้น เป็นเรื่องสำคัญของการทำงานเป็นทีม ซึ่งเทคนิคดังต่อไปนี้ จะสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างและส่งเสริม Teamwork ให้กับองค์กรได้1. การโฟกัสเป้าหมายร่วมกัน
การทำงานเป็น Teamwork ควรเริ่มตั้งแต่การวางแผนสร้างเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ร่วมกันเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งการกำหนดเป้าหมายนั้น ควรกำหนดอย่างชัดเจนและให้ทุกคนในทีมรับทราบ เพราะหากทุกคนในทีมเข้าใจเป้าหมายที่ตรงกันแล้ว การทำงานต่างๆ ก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่เสียเวลาเปล่า และไม่หลงทาง
นอกจากนั้น ควรมีการกำหนดกฎระเบียบ และขอบข่ายหน้าที่ความรับผิดชอบให้ชัดเจนด้วย เพื่อให้เกิดกาทำงานที่เป็นระบบ ใช้เป็นเครื่องมือในการวัดความสำเร็จของทีมได้ มีการเคารพซึ่งกันและกัน โดยกฎระเบียบ หรือหน้าที่ต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมานั้น ควรได้รับการเห็นพ้องต้องกันจากสมาชิกทุกคน และเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรให้เข้าใจง่าย และสามารถทำได้จริง เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ปฏิบัติตามได้ง่าย และบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย2. จัดทีมด้วยจุดเด่นของแต่ละคน
การวางโครงสร้างและตำแหน่งหน้าที่ของแต่ละคนในทีมก็เป็นเรื่องสำคัญ ในการสร้างTeamwork ให้มีประสิทธภาพ หากสามารถกำหนดหน้าที่ของแต่ละคนตามความสามารถ ตำแหน่งและประสบการณ์ หัวหน้าทีก็ควรมองหาจุดเด่นของสมาชิกแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นด้านการทำงาน หรือทัศนคติต่างๆ เพราะจุดเด่นและสไตล์การทำงานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เหมือนการต่อจิ๊กซอว์แต่ละอันให้รวมเป็นหนึ่งเดียว หรือการมีบัดดี้เพื่อรองรับการทำงานซึ่งกันและกัน จะสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของสมาชิกในทีมได้และลดความผิดพลาดให้น้อยลงด้วย
3. หัวหน้าทีมที่มีความเป็นผู้นำ
คำว่าผู้นำในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเป็นหัวหน้าเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการกล้าตัดสินใจ กล้าแสดงความคิดเห็น รู้หน้าที่ของตนเอง มีข้อเสนอแนะที่ดีให้เพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอ และในขณะเดียวกัน หากมีผู้อื่นแสดงความเป็นผู้นำด้วย ก็สามารถเป็นผู้ตามที่มีวิสัยเปิดกว้าง ซึ่งการเป็นผู้นำที่ดีนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถวัดระดับได้ แต่สมาชิกในทีมจะสามารถสัมผัสได้ ด้วยการแสดงออก และความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จของหัวหน้า เมื่อหัวหน้ามีความมุ่งมั่นแล้ว สิ่งที่ตามมาคือความเชื่อมั่นจากสมาชิกในทีม ซึ่งจะเป็นจุดสำคัญในการทำงานให้มีความร่วมมือร่วมใจ ทำงานไปในทิศทางเดี่ยวกัน จนเกิดเป็น Teamwork ที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง
4. เพิ่มความสนิทสนม และสานสัมพันธ์ร่วมกัน
หลายๆ องค์กรที่มีนโยบายละลายพฤติกรรมของทีม เช่น การไปเที่ยว Outing กิจกรรมที่สนุกสนานร่วมกัน เพื่อสนับสนุนให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร และเมื่อมีความสนิทสนมระดับนึงแล้ว ก็จะทำให้การทำงานในทีมมีความราบรื่นมากขึ้น มีความเข้าอกเข้าใจในกันและกันมากขึ้น มีความเป็น Teamwork ที่ดีมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดจากการทำงานได้อีกด้วย
5. แลกเปลี่ยนข้อมูลภายในทีม
การทำงานเป็น Teamwork นั้น แน่นอนว่าต้องมีการใช้ข้อมูลต่างๆ ร่วมกันอยู่เสมอ เพราะเราต่างมีเป้าหมายเดียวกัน หากสมาชิกมีการแชร์ข้อมูลทั้งหมดให้กันก็จะทำให้การทำงานบางอย่างมีความสะดวกรวดเร็วและลดความผิดพลาดได้มากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลของสินค้าหรือบริการ ข้อมูลลูกค้า เอกสารสำคัญต่างๆ ซึ่งสมาชิกในทีมควรจัดเก็บข้อมูลไว้ในที่ๆ สมาชิกคนอื่นเข้าถึงได้ หรือบางทีมอาจมีการอัพเดทการทำงานอยู่ตลอดเวลา หรือสามารถใช้ระบบต่างๆ เข้ามาสนับสนุนการทำงานให้เข้าถึงง่ายขึ้น เช่น ทีม HR สามารถใช้โปรแกรมบริหารงานบุคคล เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องข้อการจัดเก็บข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายกับสมาชิกทุกคน และยังมีการจัดการที่เป็นระบบแจ้งเตือนให้รับทราบอยู่ตลอดเวลาด้วย
6. เพิ่มศักยภาพของคนในทีม
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญหลังจากที่หัวหน้ารู้จักสมาชิกในทีมอย่างลึกซึ้งแล้ว รู้จักจัดแข็งจุดอ่อนของสมาชิกในทีมแล้ว ก็ควรเลือกวิธีการเพิ่มศักยภาพของสมาชิกในทีมให้เหมาะสม ตัวอย่างเช่น สมาชิกในทีมบางคนอาจยังไม่รู้เนื้อหาของงานได้ดีพอ แต่มีจุดเด่นคือเป็นคนเรียนรู้เร็ว เปิดรับการเรียนรู้อยู่เสมอ หัวหน้าที่ก็ต้องสวมบทบาทเป็นโค้ชที่มอบความรู้ต่างๆ ให้กับสมาชิก เพื่อปิดจุดอ่อนและเสริมสร้างจุดแข็งให้กับทีม เพื่อการสร้าง Teamwork ที่มีประสิทธภาพ เกิดเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน หรือที่เรียกว่า Team Building นั่นเอง
7. การประเมินผลงานของทีม
จริงๆ แล้ว การประเมินผลงานนั้น ถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานทุกอย่าง ทุกขั้นตอน รวมถึงการสร้าง Teamwork ให้มีประสิทธิภาพด้วย เพราะการประเมินนั้น จะทำให้ทีมของเราทราบว่า ทีมทำงานเป็นอย่างไร มีจุดแข็ง จุดอ่อนตรงไหน ควรปรับปรุงอย่างไร ซึ่งจะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้ตามแผนการที่วางไว้ อีกทั้งหัวหน้าทีมยังสามารถนำการประเมินนี้ไปปรับปรุงโครงสร้างระบบการทำงานของทีมได้อีกด้วย และสุดท้าย หากทีมได้ผลการประเมินที่ดี ก็จะสามารถสร้างแรงจูงใจ ความภาคภูมิในให้กับสมาชิกในทีม และมีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นต่อไปอีกด้วย
สรุปการสร้าง Teamwork ให้มีประสิทธิภาพ
การสร้าง Teamwork ให้มีประสิทธิภาพ นั้น ย่อมเกิดจากการทำงานร่วมกันของสมาชิกในทีม ซึ่งหากสมาชิกทุกคนในทีม สามารถทำงานตามเทคนิคดังที่กล่าวข้างต้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว แน่นอนว่าย่อมสร้างผลสำเร็จในการทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม และยังส่งเสริมการพัฒนาองค์กรและบุคลากรให้เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย - Canva เครื่องมือออกแบบ Graphic แบบเริ่มต้นใช้งาน
องค์ความรู้จากกองกิจการนักศึกษา
เรื่อง สอนใช้ Canva เครื่องมือออกแบบ Graphic แบบเริ่มต้นใช้งานสอนใช้ Canva เครื่องมือออกแบบ Graphic ออนไลน์ ใช้ง่าย ฟรี
canva เครื่องมือออกแบบกราฟฟิคออนไลน์ที่กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก เพราะใช้ง่าย และเริ่มต้นใช้งานได้ฟรี แถมยังมีเทมเพลตให้เลือกครบทุกความต้องการ วันนี้เราจะมาสอนใช้งานโปรแกรมนี้ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จเอาไปใช้งานได้ พร้อมแล้วไปเรียนรู้กันเลยCanva คืออะไร
Canva คือเครื่องมือสำหรับออกแบบกราฟฟิคออนไลน์ ที่สามารถใช้งานได้ทั้งในคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน โดยเริ่มต้นใช้งานได้ฟรี มีฟังค์ชันที่สำคัญครบถ้วน ออกแบบง่าย มีเครื่องมือและเทมเพลตให้เลือกใช้งานได้มากมาย หลายเทมเพลตใน Canva ถูกสร้างมาเพื่อนำไปใช้งานใน Social Media อื่นๆได้อย่างง่ายดาย หรือหากต้องการฟังค์ชันเสริมอื่นๆก็สามารถจ่ายเงินเพื่ออัพเกรดระบบได้อีกด้วย
Canva จึงเหมาะเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์งานเพื่อนำไปใช้ทำคอนเทนต์ต่างๆบนโลกออนไลน์Canva ใช้ฟรีไหม
Canva สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ฟรี และเราการันตีเลยว่าแค่ฟังค์ชันฟรีก็สามารถใช้ผลิตงานที่จำเป็นได้ครบแทบทุกอย่าง แต่ฟังค์ชันแบบเสียเงินก็จะมีระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มรูปภาพและเทมเพลตดีๆเข้ามาอีกมากพอสมควร ในราคาเริ่มต้นปีละ 1,850 บาท หรือถ้าอยากทดลองจ่ายเป็นรายเดือน จะอยู่ที่ราคาเดือนละ 229 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่าและไม่แพงCanva Pro ดีไหม
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่า Canva แบบฟรีก็เพียงพอต่อการใช้งาน แต่ Canva แบบ Pro หรือแบบเสียเงินรายเดือน/รายปีก็มีข้อดีที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น
• ฟังค์ชันสำหรับการลบฉากหลังของภาพ ทำให้เราสามารถตกแต่งภาพได้ดีมากขึ้น
• สามารถใช้งานงานรูปภาพและไอคอนต่างๆได้เพิ่มมาอีกนับล้านรูปภาพ
• ปรับขนาดของชิ้นงานที่ออกแบบไปแล้วได้ตามต้องการ
• ฯลฯ
ทั้งนี้ราคาของ Canva Pro จะอยู่ที่เริ่มต้น 1,850 บาท/ปี หรือถ้าจ่ายรายเดือนจะตกอยู่ที่ 229 บาท/เดือน ถ้าใครกะใช้ยาวๆแนะนำว่าแบบรายปีจะคุ้มกว่ามากครับ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Canva Pro ได้ที่ลิงค์นี้เลย canva.com/pricing - AI และอนาคตแห่งการทำงาน ประโยชน์ ที่คุณควรทราบ
องค์ความรู้จากกองกิจการนักศึกษา
เรื่อง เรื่อง AI และอนาคตแห่งการทำงาน ประโยชน์ ที่คุณควรทราบAI ไม่ใช่แค่อนาคต แต่ยังเป็นปัจจุบันด้วย และตอนนี้เมตาเวิร์สก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว การปฏิวัติ AI กำลังก้าวไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น จนเปิดโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาสมากมาย แต่โลกใบนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไรและมีความสำคัญอย่างไรต่ออนาคตของการทำงานกัน
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คืออะไร
AI เป็นศาสตร์แห่งการสร้างเครื่องจักรที่มีความสามารถแบบมนุษย์ โดยเป็นเครื่องจักรที่สามารถวางแผน ใช้เหตุผล สื่อสาร และเรียนรู้ได้เครื่องจักรเหล่านี้ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเรา ทั้งยังลดต้นทุน รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไรได้ด้วย แต่สิ่งที่หลายคนกลัวก็มักจะเป็นเรื่องที่ว่า AI อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดแรงงาน เนื่องจาก AI จะเข้ามาแทนที่งานระดับล่างที่มีรูปแบบตายตัวAI มีหลากหลายแขนง ซึ่งทุกแขนงล้วนมีอิทธิพลต่อวิธีการทำงานของเราในปัจจุบันและวิธีที่เราจะทำงานในอนาคตอย่างมาก ดังนี้แมชชีนเลิร์นนิ่ง
AI ประเภทนี้ “เรียนรู้” ได้โดยอาศัยการจดจำรูปแบบที่ปรากฏในข้อมูล แมชชีนเลิร์นนิ่งเป็นเครื่องมือที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากการที่ซอฟต์แวร์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับเพื่อคาดการณ์ สร้างกฎ หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆ ได้เอง โดยที่มนุษย์ไม่ต้องตั้งโปรแกรมเองทุกครั้ง การเรียนรู้เชิงลึกทำให้กระบวนการนี้ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้น โดยลดการป้อนข้อมูลจากมนุษย์ลงและสามารถใช้ชุดข้อมูลที่ใหญ่ขึ้นได้ AI ได้เข้ามาช่วยในกระบวนการล่าสุดบางอย่างในด้านการจดจำคำพูดและรูปภาพ รวมถึงการประมวลผลภาษาให้เป็นธรรมชาติ แต่ว่าแมชชีนเลิร์นนิ่งนั้นจะมีประสิทธิภาพพอๆ กับข้อมูลที่ป้อนเข้าไปเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากข้อมูลนั้นมีความโน้มเอียง ผลลัพธ์ของ AI ก็จะมีความโน้มเอียงด้วย ระบบ Generative AI เช่น ChatGPT เองก็จัดเป็นแมชชีนเลิร์นนิ่งเช่นกันหุ่นยนต์
องค์กรต่างๆ นำหุ่นยนต์มาใช้เพื่อทำให้งานที่ต้องใช้แรงงานเป็นระบบอัตโนมัติ โดยสั่งการจากทางไกล หรือใช้อัลกอริทึมหรือเซ็นเซอร์ ปัจจุบันหุ่นยนต์มีประโยชน์มากมาย ตั้งแต่การช่วยผ่าตัดไปจนถึงการตรวจสอบท่อระบายน้ำ ตลอดจนการใช้ “แขน” หุ่นยนต์ในสายการผลิตที่เราคุ้นตากันเป็นอย่างดีการประมวลผลภาษาธรรมชาติ
แม้ว่าคอมพิวเตอร์จะชาญฉลาดมาก แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจ สร้าง และตอบสนองต่อภาษาของมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) จึงได้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้โดยใช้แมชชีนเลิร์นนิ่ง NLP มีแอพพลิเคชั่นมากมาย ตั้งแต่การแปล การจดจำเสียง และการถอดความ ไปจนถึงการดึงข้อมูลจากรายงานAI และมนุษย์ทำงานร่วมกัน
วิธีที่ AI และมนุษย์ทำงานร่วมกันยังคงพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ดี ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกับ AI มี 2 ประเด็นหลักๆ ด้วยกัน ดังนี้
1.ระบบอัตโนมัติและการแทนที่ตำแหน่งงานเดิม
ความสามารถของ AI ในการจัดการงานที่มีรูปแบบตายตัวโดยอัตโนมัติทำให้งานบางส่วนไม่จำเป็นต้องใช้มนุษย์อีกต่อไป ซึ่งอาจส่งผลให้บุคลากรมีจำนวนลดลง
แบบสำรวจของ Forbes Advisor พบว่าผู้ตอบแบบสำรวจ 77% กังวลว่า AI อาจทำให้งานต่างๆ หายไปได้ในอนาคตอันใกล้ McKinsey ยังคาดการณ์ด้วยว่าในขณะที่ AI พัฒนาไปเรื่อยๆ นั้น AI อาจแทนที่บุคลากรทั่วโลกกว่า 400 ล้านคน
ข้อมูลจากรายงาน Future of Jobs ของ World Economic Forum ระบุว่า 25% ของงานทั้งหมดจะได้รับผลกระทบเชิงลบในอีก 5 ปีถัดไป โดยงานสายบริหารจัดการจะหายไปราว 26 ล้านตำแหน่ง
ภาคส่วนธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากระบบอัตโนมัติเช่นกัน ได้แก่ การสนับสนุนด้านการบริหารจัดการสำนักงาน บริการด้านกฎหมาย สถาปัตยกรรมและวิศวกรรม ธุรกิจและการบริหารจัดการด้านการเงิน การจัดการ งานฝ่ายขาย การดูแลสุขภาพ ตลอดจนศิลปะและการออกแบบ
2.การสร้างงานและการเปลี่ยนแปลง
แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับการแทนที่ตำแหน่งงานเดิม แต่มีการคาดการณ์ไว้ว่าระบบอัตโนมัติจะก่อให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ๆ จำนวนมาก ข้อมูลในปี 2022 พบว่าธุรกิจ 39% ระบุว่าตนได้ว่าจ้างวิศวกรซอฟต์แวร์ และ 35% ว่าจ้างวิศวกรข้อมูลในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับ AI ทั้งยังมีการคาดการณ์กันว่า AI จะสร้างงานใหม่ได้ราว 97 ล้านตำแหน่ง
นอกจากนี้ AI ไม่สามารถทำงานหลายๆ อย่างให้เป็นแบบอัตโนมัติไปทั้งหมดได้ โดยสามารถทำได้เพียงงานที่มีรูปแบบตายตัว เช่น การจ่ายเงินเดือน หรือการดึงข้อมูลจากเอกสารต่างๆ เท่านั้น อีกทั้งมนุษย์ก็ยังคงต้องเป็นผู้ดูแลกระบวนการและก้าวเท้าเข้ามาหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
เราจะเห็นได้ว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่ทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างหาก AI ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นและสามารถเอาเวลาไปให้ความสำคัญกับองค์ประกอบที่สร้างสรรค์และน่าพึงพอใจมากกว่าในงานของเราได้ ตัวอย่างเช่น แม้ว่า AI อาจถูกนำมาใช้เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค แต่แพทย์และพยาบาลก็ยังคงมีบทบาทในการรักษาผู้ป่วยอยู่เช่นเคยสิ่งที่มาพร้อมกับ AI คือความต้องการผู้ที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีในจำนวนที่มากขึ้น เช่น โปรแกรมเมอร์ นักสถิติ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และนักวิเคราะห์ รวมถึงผู้ที่มีทักษะที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์และความฉลาดทางอารมณ์ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ AI ให้ไม่ได้
ประโยชน์ของ AI ที่คุณจะได้รับจากการนำไปใช้งานจริงจะมีดังต่อไปนี้
• ผลิตภาพที่เพิ่มขึ้น – ผลิตภาพจะเพิ่มขึ้นเมื่อผู้คนและทรัพยากรไม่ต้องเอาเวลาไปลงกับงานที่มีรูปแบบตายตัว ข้อมูลจาก Nielsen Norman Group พบว่าระบบ Generative AI ช่วยให้พนักงานมีผลิตภาพเพิ่มขึ้นถึง 66% ด้วยกัน
• ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น – AI สามารถทำงานที่มีรูปแบบตายตัวบางอย่างได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ และสิ่งที่แตกต่างจากพนักงานที่เป็นมนุษย์คือ บริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถเฝ้าสังเกตการหลอกลวง ตอบคำถามของลูกค้า และตรวจสอบใบสมัครงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากร
• การแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อน – ความก้าวหน้าของแมชชีนเลิร์นนิ่งทำให้ AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้นได้แล้ว เช่น การนำ AI มาใช้วินิจฉัยโรคจะช่วยให้พนักงานไม่ต้องมาเสียเวลาทำงานเดิมซ้ำๆ และช่วยเพิ่มผลิตภาพ
• นวัตกรรม AI ช่วยให้องค์กรได้สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อก้าวไปสู่ความความสำเร็จ ตั้งแต่ไอเดียที่สร้างขึ้นโดย AI ในเซสชั่นการระดมความคิด การโต้ตอบในพื้นที่เสมือนในเมตาเวิร์ส ไปจนถึงการใช้ AI ในห่วงโซ่อุปทานเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ (จากนั้นจึงตัดสินใจเกี่ยวกับสินค้าที่เกี่ยวข้อง)